นาย ณัฐวุฒิ พึ่งศรี ชั้น ม.5/2 เลขที่ 4
นาย ณวพล เกื้อทาน ชั้น ม.5/2 เลขที่ 6
นาย รัฐพงษ์ ข่าขันมะลี ชั้น ม.5/2 เลขที่ 9
นายเจษฏา ขจรไชยา ชั้น ม.5/2 เลขที่ 15
นายประเสริฐ์ วงศ์พานิชย์ ชั้น ม.5/2 เลขที่ 17
อินดี้_จิงๆ
วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554
อารยธรรม "แอตแลนตีส"
"แอตแลนตีส"อารยธรรมที่สาปสูญ
ภาพจำลองแห่ง "นครแอตแลนตีส" ที่กำลังจมอยู่ใต้น้ำที่ไหนสักแห่งในโลกนี้
ซึ่งเพลโตเอ่ยว่านครแห่งนี้มีความเจริญยิ่งนัก แต่บรรดานักสำรวจก็พยายามค้นหากันมานานหลายศตวรรษ
“มหานครแอตแลนตีส” มีมาตลอดทุกยุคทุกสมัย ซ้ำยังเป็นปริศนาแห่งโลกมหัศจรรย์ให้เหล่าผู้ชื่นชอบเรื่องราวลี้ลับได้ค้นคว้าหาตำตอบกันมากต่อมาก ทั้งในรูปแบบบทความหรือการค้นคว้าทางวิชาการ หนังสือ ภาพยนตร์ และเรื่องเล่าต่อๆ กันมา
ทั้งนี้ ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน ภาคีราชบัณฑิตยสถาน ก็เคยเขียนถึง ที่มาที่ไปของ “แอตแลนตีส” ไว้อย่างสมบูรณ์ ผู้จัดการวิทยาศาสตร์จึงนำมาเผยแพร่ประกอบ ในคราวที่เรื่องราวของ “แอตแลนตีส” กลับมาเป็นที่กล่าวถึงกันอีกครั้ง
Normal 0 false false false MicrosoftInternetExplorer4
อาณาจักรแห่งอารยธรรมจากบทบันทึกของ“เพลโต”
ย้อนอดีตไปเมื่อ 2,300 ปีก่อนนี้ได้มีนักปราชญ์ชาติกรีกผู้ยิ่งใหญ่ ท่านหนึ่งชื่อ "เพลโต" (Plato) ท่านได้เรียบเรียงบทสนทนาไว้สองบทชื่อ “ไทมาอุส” (Timaeus) และ “ครีตีอัส” (Critias) บทสนทนานี้ได้กล่าวถึงครีตีอัสผู้เป็นทวดของเพลโต ว่าปู่ของท่านซึ่งมีนามว่า ผู้เฒ่าครีตีอัส (Critias the Elder) ได้ยินนิทานที่พ่อของท่านที่ชื่อ “ดรอพิเดส” (Dropides) เล่ามาอีกต่อหนึ่งว่าเพื่อนของท่านที่ชื่อซาลอน (Solon) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในราวปี พ.ศ.10 (533 ปีก่อนคริตศักราช)
"เพลโต" มหาปราชญ์แห่งยุค ผู้เริ่มเผยแพร่มหานครที่สาบสูญ
ดรอพิเดสได้ยินได้ฟังมาจากพระชาวอียิปต์แห่งวิหาร Sais ในประเทศอียิปต์ว่า มีอาณาจักรใหญ่แห่งหนึ่งที่รุ่งเรืองและมีอำนาจมาก ชื่อ “แอตแลนตีส” (Atlantis) อาณาจักรนี้ตั้งอยู่บนเกาะๆ หนึ่งกลางมหาสมุทรแอตแลนติก และเกาะมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลมากแต่ในเวลาต่อมาเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้ทำลายเกาะ และเกาะถูกคลื่นยักษ์ในทะเลไหลท่วมทับจมหายไปในทะเลอย่างไม่มีใครคนใดพบเห็นเกาะอีกเลย
ในบทสนทนาที่ชื่อครีตีอัสนั้น เพลโตได้เล่าถึงอาณาจักรแอตแลนตีสว่า ประชาชนของอาณาจักรนี้เป็นลูกหลานของเทพโพเซดอน (Poseidon) แห่งทะเล บนเกาะมีภูเขา มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีป่าไม้ แร่และสัตว์ป่าเช่น ช้าง มากมาย อาณาจักรนี้มีกษัตริย์ปกครองถึง 10 พระองค์ ซึ่งทุกองค์เป็นบุตรที่ถือกำเนิดจากนางไคลโต (Cleito) และเทพโพเซดอนและทุกๆ 5 ปี กษัตริย์ที่กำลังปกครองแอตแลนตีส จะล่าวัวศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำไปถวายเป็นเทพบูชาแด่โพเซดอน
เพลโต ยังเล่าอีกว่าในเมืองหลวงของอาณาจักร แอตแลนตีส มีบ่อน้ำร้อนสำหรับการอาบน้ำในฤดูหนาว และบ่อน้ำเย็นสำหรับการอาบน้ำในฤดูร้อนอีกด้วย ซึ่งสถานอาบน้ำเหล่านี้ยังถูกแบ่งออกเป็นระดับๆ สำหรับคนในวรรณะต่างๆ เช่น สำหรับกษัตริย์ คนธรรมดา และม้า ตัวเกาะ แอตแลนตีส ซึ่งมีกำแพงล้อมรอบนั้นยังถูกแบ่งออกเป็นวงแหวนที่เรียงซ้อนกัน 5 วง โดยมีสะพานเชื่อมโยงระหว่างวงเหล่านั้นและเรือเดินสมุทรสามารถลอยลำเข้าไปได้ถึงใจกลางเมือง นอกจากนี้ชาวเมือง แอตแลนตีส ยังมีการศึกษา มีความสามารถด้านการทำสงครามและมีศีลธรรมสูง
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วอายุคน ความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักร แอตแลนตีส ก็ได้เริ่มสลายจากความเป็นอารยะ ชาว แอตแลนตีส ได้เปลี่ยนเป็นคนกักขฬะที่กระหายและอำนาจ เทพเจ้าซีอุส (Zeus) จึงได้ตัดสินพระทัยลงโทษอาณาจักรแอตแลนตีสทันที แต่เมื่อบทสนทนาครีตีอัส กล่าวถึงตรงนี้ เพลโตได้ตัดสินใจจบการเล่าเรื่องอย่างฉับพลันทันใด
"โซรอน" เจ้าของตำนานแห่งแอตแลนตีส
50 ปีหลังจากที่เพลโตได้เสียชีวิตลง ในปี พ.ศ. 202 อนุชนรุ่นหลังและเหล่าศิษยานุศิษย์ก็ได้พยายามหาคำตอบว่า อาณาจักรแอตแลนตีส ของเพลโตอยู่ที่ใดบนโลก และอาณาจักรนี้มีหรือไม่
อริสโตเติล (Aristotle) ผู้เป็นศิษย์เอกคนหนึ่งของเพลโต คิดว่า แอตแลนตีสคืออาณาจักรในจินตนาการของเพลโตที่ไม่มีตัวตน และแม้แต่ในยุคของผู้เฒ่าไพลนี (Pliny the Elder) ผู้เป็นนักประวัติศาสตร์โรมันที่มีชื่อเสียงราวปี พ.ศ. 620 ความเชื่อและความไม่เชื่อในเรื่องของ แอตแลนตีสก็ยังคงปรากฏอยู่ โดยพวกที่เชื่อเรื่องนี้มักจะอ้างว่า เพลโตเป็นนักปราชญ์ที่มีคุณธรรม ดังนั้น ในการเขียนบทประพันธ์ใดๆ ท่านย่อมเขียนอย่างมีเหตุผล และกลั่นกรองว่ามีความถูกต้อง ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็มีมากมายเพราะอ้างว่าถ้า แอตแลนตีสมีจริง น่าจะมีคนพบเห็นซากของอาณาจักรบ้าง แต่ประวัติศาสตร์ก็ได้แสดงให้เห็นตลอดเวลากว่า 2,000 ปีนี้ ไม่มีใครประสบความสำเร็จในการเห็น แอตแลนตีส เลย
ถ้า แอตแลนตีส มีจริง อาณาจักรนี้ควรตั้งอยู่ ณ ที่ใด
เพลโต ได้เขียนไว้ว่า แอตแลนตีส ตั้งอยู่เลย "พิลลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส" (Pillars of Hercules) “เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส” ออกไป ซึ่งในปัจจุบันพิลาร์หรือเสาหินดังกล่าว คือช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนตีส จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีใครรู้จักดีเพราะแอตแลนติกเป็นพื้นน้ำที่ยังไม่มีใครกล้าข้าม ดังนั้นเกาะสวรรค์ต่างๆ ที่ปรากฏในนวนิยายกรีกยุคนั้นจึงมักจะถูกกำหนดให้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอนแลนติกทั้งสิ้น
พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส ที่เพลโตระบุว่าชี้ตำแหน่งของ "แอตแลนตีส" ซึ่งปัจจุบันเชื่อว่าเป็น " ช่องแคบยิบรอลตา"
ในปี พ.ศ. 2096 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่โคลัมบัส (Columbus) ได้พบทวีปอเมริกาแล้ว 50 ปี นักประวัติศาสตร์ชาวสเปนท่านหนึ่งชื่อ “ ฟรานเซสโก โลเปส โด โกมารา” (Francesco Lopes do Gomara) ได้เสนอแนะว่าหมู่เกาะอินเดียตะวันตก (West Indies) และทวีปอเมริกาคือแอตแลนตีส แต่ไม่นานความคิดที่ว่าอเมริกาคือ แอตแลนตีส ก็เริ่มหมดความเชื่อถือ
แต่คนหลายคนที่ยังคลั่งไคล้ในมนต์เสน่ห์ของ แอตแลนตีส ก็ได้คิดต่อไปว่า อาณาจักรนี้น่าจะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกมากกว่าที่หมู่เกาะอะซอเรส (Azores) หรือ มาดีราส ( Madeiras) หรือ คานารีส ( Canaries) แต่การศึกษาทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักร แอตแลนตีส มาก่อนเลย เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้คนที่ยังมีความศรัทธาในเรื่องของอาณาจักร แอตแลนตีส ก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโต ที่ว่า “ พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส” นั้นจริงๆ แล้ว เพลโตน่าจะหมายถึงช่องแคบ “ ดาร์ดาแนลเลส ” (Dardanelles) ของทะเลดำ ( Black Sea) มากกว่าช่องแคบยิบรอลตา ดังนั้นการค้นหาแอตแลนตีสจึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) แทน
เกาะเทรา ที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นควันภูเขาไฟ ซึ่งตอนแรกเข้าใจกันใหญ่ว่าเป็น "แอตแลนตีส"
ในปี พ.ศ. 2443 เมื่อเซอร์ อาร์เธอร์ อีวานส์ (Sir Arthur Evans) แห่งอังกฤษได้ขุดพบพระราชวังนอสซอส (Knossos) ของอารยธรรมไมนวน (Minoan) บนเกาะครีท (Crete) ในทะลเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้ หนังสือพิมพ์ “ ไทม์ส ” (The Times) ได้พาดหัวข่าวว่าอีวานส์พบแอตแลนตีส แล้ว แต่ก็ไม่มีใครยอมรับ เพราะการสำรวจทางโบราณคดี และทางธรณีวิทยาที่กระทำในเวลาต่อมาได้แสดงให้เห็นว่า เกาะครีทไม่เคยจมลงใต้ทะเลเลย
เมืองบนเกาะครีท-อารยธรรมไมนวน ต้นทฤษฎีสู่แอตแลนตีส
และอีก 30 ปีต่อมา เมื่อมารีนาสโตส (S. Marinastos) นักโบราณคดีชาวกรีกได้ขุดพบวัตถุโบราณและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ของอารยธรรมไมนวน บนเกาะครีท เขาได้พบว่าวัตถุเหล่านี้ถูกฝังอยู่ภายใต้ฝุ่นภูเขาไฟ ที่ได้ระเบิดบนเกาะเทรา ( Thera) เมื่อ 4,000 ปีก่อนนี้ และฝุ่นได้ลอยไกลจากเกาะเทรามาตกปกคลุมเกาะครีตซึ่งอยู่ไกลกันถึง 96 กิโลเมตร ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2482 มารีนาสโตสจึงได้เสนอความคิดว่า อารยธรรมไมนวน บนเกาะครีท ต้องล่มสลาย เพราะได้เกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ ของภูเขาไฟ บนเกาะเทรา Thera (ซึ่งปัจจุบันเรียกเกาะซานโตรีนี (Santorini)) เหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในครั้งนั้นได้ทำให้พระราชวังนอสซอส และเมืองต่างๆ ของอาณาจักรไมนวนพังทลาย และเถ้าถ่านและฝุ่นละอองจากภูเขาไฟได้ถล่มถมทับสิ่งปรักหักพังเหล่านี้จนหมดสิ้น เมื่อมารีนาสโตสได้ขุดพบหลักฐานทางโบราณคดีที่สนับสนุนความคิดนี้ ที่เมืองอโครตีรี (Akrotiri) ซึ่งอยู่ทางใต้ของเกาะเทรา เขาก็ได้พบถนนหนทาง เครื่องใช้ เช่น เครื่องปั้นดินเผามากมาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอโครตีรี ก็เคยเป็นดินแดนหนึ่งของอารยธรรม ไมนวน บนเกาะครีทเช่นกัน
ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่าอารยธรรมไมนวนเป็นอารยธรรมโบราณที่เคยรุ่งเรืองในแถบทะเล เมดิเตอร์เรเนียน เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนนี้ และอาณาจักรนี้มีจุดศูนย์กลางของความเจริญอยู่ที่เกาะครีท ชาวไมนวนมีอารยธรรมสูง มีกฎหมายใช้ มีเทคโนโลยีการถลุงแร่ รู้จักขุดคลอง อุโมงค์ และสร้างท่าเรือ นอกจากนี้ชาวไมนวนยังรู้จักสร้างบ้านที่มีที่ระบายอากาศ และสร้างห้องน้ำที่มีชักโครกอีกด้วย ส่วนในเรื่องค้าขายนั้นชาวไมนวนชอบค้าข้าวสาลี ทองแดง ตะกั่วและเครื่องปั้นดินเผากับผู้คนจากที่ไกลๆ อาณาจักรไมนวนมีเมืองท่าสำคัญอยู่บนเกาะเทรา แต่เมื่อราว 3,500 ปีมานี้เอง อาณาจักรไมนวนก็ได้สลายมลายสูญไปทำนองเดียวกับ แอตแลนตีส ของเพลโต
การศึกษาของมารีนาสโตส ในเวลาต่อมาได้ทำให้เรารู้ว่าเมื่อ 1,520 ปีก่อนคริสตกาลนั้น ภูเขาไฟบนเกาะ เทราได้ระเบิด 3 ครั้ง และในครั้งสุดท้ายนั้น พลังระเบิดของภูเขาไฟที่สูงถึง 1,600 เมตรมีความรุนแรงมากยิ่งกว่าการระเบิดของภูเขาไฟกรากาตัว (Krakatoa) ในอินโดนีเซียที่ระเบิดเมื่อปี พ.ศ. 2462 ถึง 5 เท่า เสียงภูเขาไฟระเบิด ในครั้งนั้นสามารถได้ยินไปไกลถึง 3,000 กิโลเมตร ทำเกาะเทราให้ทรุดจมลงใต้ทะเล ฝุ่น ควันและเขม่าภูเขาไฟได้พุ่งขึ้นฟ้าบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้พื้นที่ 400 ตารางกิโลเมตรในบริเวณรอบๆ ภูเขาไฟเปลี่ยนสภาพจากกลางวันเป็นกลางคืน เถ้าถ่านและลาวาที่หนาถึง 30 เมตรได้ทับถมอารยธรรมไมนวนบนเกาะเทราจนมืดสนิท
และอีก 40 ปีต่อมา การยุบตัวของปล่องภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ทำให้ทะเลบริเวณรอบเกาะปั่นป่วน คลื่นยักษ์ (tsunami) ที่มีความสูงถึง 30 เมตรได้ไหลพุ่งเข้าถล่มเกาะครีตมีผลทำให้อารยธรรมไมนวนถึงจุดจบ แล้วอารยธรรมไมซีเนียน (Mycenean) ก็ได้เข้ามาแทนที่ทันที
เหตุการณ์ปฐพีถล่มล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนั้น อธิบายชะตากรรมของครีทได้อย่างสมบูรณ์และมารีนาสโตสเองก็คิดว่าเหตุการณ์นี้อธิบายการสูญสลายของ แอตแลนตีส ด้วยทฤษฎี “ครีท-เทรา” (Crete-Thera) จึงเป็นทฤษฎี แอตแลนตีส ที่ผู้คนยอมรับกันมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ประมาณ 20 ปี ความเชื่อในทฤษฎีนี้ก็เริ่มคลอนแคลนอีก เพราะนักประวัติศาสตร์ ได้พบหลักฐานเพิ่มเติมว่าภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ระเบิดก่อนที่พระราชวังนอสซอสบนเกาะครีทจะถูกถล่มถึง 150 ปี
ภาพจำลองอาณาจักรแอตแลนตีสที่อยู่กันเป็นสัดส่วน
หรือนครที่สาบสูญก็แค่คำเปรียบเปรยของจอมปราชญ์
ในหนังสือชื่อ “มิสทรี ออฟ ดิ แอนเชียน เวิลร์ด” (Mysteries of the Ancient World) หรือปริศนาลึกลับแห่งโลกโบราณ ซึ่งมี ฟรานเดอร์ (J. Flanders) เป็นบรรณาธิการ และพิมพ์วางตลาด เมื่อเดือนธันวาคม 2541 โดยได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับ แอตแลนตีส ว่า
”เพลโต” เป็นบุคคลเดียว ที่ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ และตั้งแต่นั้นมาใครก็ตามที่พูดถึง แอตแลนตีส ต่างก็จะอ้างเพลโตทั้งสิ้น จากเอกสารและหลักฐานทั้งหลาย ที่ปรากฏไม่มีใครรู้อย่างมั่นใจ 100% ว่า เพลโตได้ตั้งใจเขียนเรื่อง แอตแลนตีส ขึ้นมาเพื่อลวงโลก หรือไม่คนบางคนคิดว่าปราชญ์ โซลอน (Solon) ที่เพลโตอ้างว่าได้ยินเรื่อง แอตแลนตีส จากพระชาวอียิปต์นั้นได้นำ "ข่าว" นี้มาบอกต่อ ๆ กันไปจากปากหนึ่งสู่อีกปากหนึ่ง แต่วิธีการถ่ายทอดข้อมูลลักษณะนี้ มักจะทำให้เนื้อหาของเรื่อง ผิดเพี้ยนไปเสมอ
และถ้าแอตแลนตีส มีจริงดังที่ เพลโต เขียนไว้ เหตุใดพระอียิปต์ จึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เฮโรโดตัส ( Herodotus) นักประวัติศาสตร์ชาติกรีกที่ได้เคยไปเยือนอียิปต์เมื่อ 450
ก่อนคริสต์กาลฟัง และถ้าข้อมูล แอตแลนตีส มาจากพระอียิปต์แต่เพียงแห่งเดียว จริงและข้อมูลนั้นมีเรื่องที่เกี่ยวกับกรีกด้วย เราก็ไม่สามารถจะมั่นใจได้ว่า ข้อมูลของชาวอียิปต์ ที่เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวกรีกเมื่อ 4,000 ปีก่อนนั้นเป็นเรื่องราวที่ถูกต้อง 100%
แม้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเมืองที่หายไปของเพลโตจะมีจริงหรือไม่ แต่จินตนาการที่ไม่รู้จบของมนุษย์ก็ได้สร้างสรรค์ออกมาผ่านหนังสือและภาพยนตร์ โดยภาพนี้จากการ์ตูนเรื่อง "แอตแลนตีส"
ประเด็นเหล่านี้ทำให้นักวิชาการ ปัจจุบันส่วนใหญ่เชื่อว่าอริสโตเติล คิดว่าถูกที่ว่า แอตแลนตีส คืออาณาจักรนิยายที่ไม่มีตัวตน และ เพลโต ได้เขียนเรื่อง แอตแลนตีส ขึ้นมาเพื่อสอนใจ โดยใช้ข้อมูลภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์มาประกอบอย่างค่อนข้างสมจริงตามแนวหนังสือชื่อ “เดอะ รีพับบลิก” (The Republic)
ภาพจำลองแห่ง "นครแอตแลนตีส" ที่กำลังจมอยู่ใต้น้ำที่ไหนสักแห่งในโลกนี้
ซึ่งเพลโตเอ่ยว่านครแห่งนี้มีความเจริญยิ่งนัก แต่บรรดานักสำรวจก็พยายามค้นหากันมานานหลายศตวรรษ
“มหานครแอตแลนตีส” มีมาตลอดทุกยุคทุกสมัย ซ้ำยังเป็นปริศนาแห่งโลกมหัศจรรย์ให้เหล่าผู้ชื่นชอบเรื่องราวลี้ลับได้ค้นคว้าหาตำตอบกันมากต่อมาก ทั้งในรูปแบบบทความหรือการค้นคว้าทางวิชาการ หนังสือ ภาพยนตร์ และเรื่องเล่าต่อๆ กันมา
ทั้งนี้ ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน ภาคีราชบัณฑิตยสถาน ก็เคยเขียนถึง ที่มาที่ไปของ “แอตแลนตีส” ไว้อย่างสมบูรณ์ ผู้จัดการวิทยาศาสตร์จึงนำมาเผยแพร่ประกอบ ในคราวที่เรื่องราวของ “แอตแลนตีส” กลับมาเป็นที่กล่าวถึงกันอีกครั้ง
Normal 0 false false false MicrosoftInternetExplorer4
อาณาจักรแห่งอารยธรรมจากบทบันทึกของ“เพลโต”
ย้อนอดีตไปเมื่อ 2,300 ปีก่อนนี้ได้มีนักปราชญ์ชาติกรีกผู้ยิ่งใหญ่ ท่านหนึ่งชื่อ "เพลโต" (Plato) ท่านได้เรียบเรียงบทสนทนาไว้สองบทชื่อ “ไทมาอุส” (Timaeus) และ “ครีตีอัส” (Critias) บทสนทนานี้ได้กล่าวถึงครีตีอัสผู้เป็นทวดของเพลโต ว่าปู่ของท่านซึ่งมีนามว่า ผู้เฒ่าครีตีอัส (Critias the Elder) ได้ยินนิทานที่พ่อของท่านที่ชื่อ “ดรอพิเดส” (Dropides) เล่ามาอีกต่อหนึ่งว่าเพื่อนของท่านที่ชื่อซาลอน (Solon) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในราวปี พ.ศ.10 (533 ปีก่อนคริตศักราช)
"เพลโต" มหาปราชญ์แห่งยุค ผู้เริ่มเผยแพร่มหานครที่สาบสูญ
ดรอพิเดสได้ยินได้ฟังมาจากพระชาวอียิปต์แห่งวิหาร Sais ในประเทศอียิปต์ว่า มีอาณาจักรใหญ่แห่งหนึ่งที่รุ่งเรืองและมีอำนาจมาก ชื่อ “แอตแลนตีส” (Atlantis) อาณาจักรนี้ตั้งอยู่บนเกาะๆ หนึ่งกลางมหาสมุทรแอตแลนติก และเกาะมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลมากแต่ในเวลาต่อมาเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้ทำลายเกาะ และเกาะถูกคลื่นยักษ์ในทะเลไหลท่วมทับจมหายไปในทะเลอย่างไม่มีใครคนใดพบเห็นเกาะอีกเลย
ในบทสนทนาที่ชื่อครีตีอัสนั้น เพลโตได้เล่าถึงอาณาจักรแอตแลนตีสว่า ประชาชนของอาณาจักรนี้เป็นลูกหลานของเทพโพเซดอน (Poseidon) แห่งทะเล บนเกาะมีภูเขา มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีป่าไม้ แร่และสัตว์ป่าเช่น ช้าง มากมาย อาณาจักรนี้มีกษัตริย์ปกครองถึง 10 พระองค์ ซึ่งทุกองค์เป็นบุตรที่ถือกำเนิดจากนางไคลโต (Cleito) และเทพโพเซดอนและทุกๆ 5 ปี กษัตริย์ที่กำลังปกครองแอตแลนตีส จะล่าวัวศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำไปถวายเป็นเทพบูชาแด่โพเซดอน
เพลโต ยังเล่าอีกว่าในเมืองหลวงของอาณาจักร แอตแลนตีส มีบ่อน้ำร้อนสำหรับการอาบน้ำในฤดูหนาว และบ่อน้ำเย็นสำหรับการอาบน้ำในฤดูร้อนอีกด้วย ซึ่งสถานอาบน้ำเหล่านี้ยังถูกแบ่งออกเป็นระดับๆ สำหรับคนในวรรณะต่างๆ เช่น สำหรับกษัตริย์ คนธรรมดา และม้า ตัวเกาะ แอตแลนตีส ซึ่งมีกำแพงล้อมรอบนั้นยังถูกแบ่งออกเป็นวงแหวนที่เรียงซ้อนกัน 5 วง โดยมีสะพานเชื่อมโยงระหว่างวงเหล่านั้นและเรือเดินสมุทรสามารถลอยลำเข้าไปได้ถึงใจกลางเมือง นอกจากนี้ชาวเมือง แอตแลนตีส ยังมีการศึกษา มีความสามารถด้านการทำสงครามและมีศีลธรรมสูง
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วอายุคน ความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักร แอตแลนตีส ก็ได้เริ่มสลายจากความเป็นอารยะ ชาว แอตแลนตีส ได้เปลี่ยนเป็นคนกักขฬะที่กระหายและอำนาจ เทพเจ้าซีอุส (Zeus) จึงได้ตัดสินพระทัยลงโทษอาณาจักรแอตแลนตีสทันที แต่เมื่อบทสนทนาครีตีอัส กล่าวถึงตรงนี้ เพลโตได้ตัดสินใจจบการเล่าเรื่องอย่างฉับพลันทันใด
"โซรอน" เจ้าของตำนานแห่งแอตแลนตีส
50 ปีหลังจากที่เพลโตได้เสียชีวิตลง ในปี พ.ศ. 202 อนุชนรุ่นหลังและเหล่าศิษยานุศิษย์ก็ได้พยายามหาคำตอบว่า อาณาจักรแอตแลนตีส ของเพลโตอยู่ที่ใดบนโลก และอาณาจักรนี้มีหรือไม่
อริสโตเติล (Aristotle) ผู้เป็นศิษย์เอกคนหนึ่งของเพลโต คิดว่า แอตแลนตีสคืออาณาจักรในจินตนาการของเพลโตที่ไม่มีตัวตน และแม้แต่ในยุคของผู้เฒ่าไพลนี (Pliny the Elder) ผู้เป็นนักประวัติศาสตร์โรมันที่มีชื่อเสียงราวปี พ.ศ. 620 ความเชื่อและความไม่เชื่อในเรื่องของ แอตแลนตีสก็ยังคงปรากฏอยู่ โดยพวกที่เชื่อเรื่องนี้มักจะอ้างว่า เพลโตเป็นนักปราชญ์ที่มีคุณธรรม ดังนั้น ในการเขียนบทประพันธ์ใดๆ ท่านย่อมเขียนอย่างมีเหตุผล และกลั่นกรองว่ามีความถูกต้อง ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็มีมากมายเพราะอ้างว่าถ้า แอตแลนตีสมีจริง น่าจะมีคนพบเห็นซากของอาณาจักรบ้าง แต่ประวัติศาสตร์ก็ได้แสดงให้เห็นตลอดเวลากว่า 2,000 ปีนี้ ไม่มีใครประสบความสำเร็จในการเห็น แอตแลนตีส เลย
ถ้า แอตแลนตีส มีจริง อาณาจักรนี้ควรตั้งอยู่ ณ ที่ใด
เพลโต ได้เขียนไว้ว่า แอตแลนตีส ตั้งอยู่เลย "พิลลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส" (Pillars of Hercules) “เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส” ออกไป ซึ่งในปัจจุบันพิลาร์หรือเสาหินดังกล่าว คือช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนตีส จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีใครรู้จักดีเพราะแอตแลนติกเป็นพื้นน้ำที่ยังไม่มีใครกล้าข้าม ดังนั้นเกาะสวรรค์ต่างๆ ที่ปรากฏในนวนิยายกรีกยุคนั้นจึงมักจะถูกกำหนดให้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอนแลนติกทั้งสิ้น
พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส ที่เพลโตระบุว่าชี้ตำแหน่งของ "แอตแลนตีส" ซึ่งปัจจุบันเชื่อว่าเป็น " ช่องแคบยิบรอลตา"
ในปี พ.ศ. 2096 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่โคลัมบัส (Columbus) ได้พบทวีปอเมริกาแล้ว 50 ปี นักประวัติศาสตร์ชาวสเปนท่านหนึ่งชื่อ “ ฟรานเซสโก โลเปส โด โกมารา” (Francesco Lopes do Gomara) ได้เสนอแนะว่าหมู่เกาะอินเดียตะวันตก (West Indies) และทวีปอเมริกาคือแอตแลนตีส แต่ไม่นานความคิดที่ว่าอเมริกาคือ แอตแลนตีส ก็เริ่มหมดความเชื่อถือ
แต่คนหลายคนที่ยังคลั่งไคล้ในมนต์เสน่ห์ของ แอตแลนตีส ก็ได้คิดต่อไปว่า อาณาจักรนี้น่าจะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกมากกว่าที่หมู่เกาะอะซอเรส (Azores) หรือ มาดีราส ( Madeiras) หรือ คานารีส ( Canaries) แต่การศึกษาทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักร แอตแลนตีส มาก่อนเลย เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้คนที่ยังมีความศรัทธาในเรื่องของอาณาจักร แอตแลนตีส ก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโต ที่ว่า “ พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส” นั้นจริงๆ แล้ว เพลโตน่าจะหมายถึงช่องแคบ “ ดาร์ดาแนลเลส ” (Dardanelles) ของทะเลดำ ( Black Sea) มากกว่าช่องแคบยิบรอลตา ดังนั้นการค้นหาแอตแลนตีสจึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) แทน
เกาะเทรา ที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นควันภูเขาไฟ ซึ่งตอนแรกเข้าใจกันใหญ่ว่าเป็น "แอตแลนตีส"
ในปี พ.ศ. 2443 เมื่อเซอร์ อาร์เธอร์ อีวานส์ (Sir Arthur Evans) แห่งอังกฤษได้ขุดพบพระราชวังนอสซอส (Knossos) ของอารยธรรมไมนวน (Minoan) บนเกาะครีท (Crete) ในทะลเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้ หนังสือพิมพ์ “ ไทม์ส ” (The Times) ได้พาดหัวข่าวว่าอีวานส์พบแอตแลนตีส แล้ว แต่ก็ไม่มีใครยอมรับ เพราะการสำรวจทางโบราณคดี และทางธรณีวิทยาที่กระทำในเวลาต่อมาได้แสดงให้เห็นว่า เกาะครีทไม่เคยจมลงใต้ทะเลเลย
เมืองบนเกาะครีท-อารยธรรมไมนวน ต้นทฤษฎีสู่แอตแลนตีส
และอีก 30 ปีต่อมา เมื่อมารีนาสโตส (S. Marinastos) นักโบราณคดีชาวกรีกได้ขุดพบวัตถุโบราณและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ของอารยธรรมไมนวน บนเกาะครีท เขาได้พบว่าวัตถุเหล่านี้ถูกฝังอยู่ภายใต้ฝุ่นภูเขาไฟ ที่ได้ระเบิดบนเกาะเทรา ( Thera) เมื่อ 4,000 ปีก่อนนี้ และฝุ่นได้ลอยไกลจากเกาะเทรามาตกปกคลุมเกาะครีตซึ่งอยู่ไกลกันถึง 96 กิโลเมตร ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2482 มารีนาสโตสจึงได้เสนอความคิดว่า อารยธรรมไมนวน บนเกาะครีท ต้องล่มสลาย เพราะได้เกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ ของภูเขาไฟ บนเกาะเทรา Thera (ซึ่งปัจจุบันเรียกเกาะซานโตรีนี (Santorini)) เหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในครั้งนั้นได้ทำให้พระราชวังนอสซอส และเมืองต่างๆ ของอาณาจักรไมนวนพังทลาย และเถ้าถ่านและฝุ่นละอองจากภูเขาไฟได้ถล่มถมทับสิ่งปรักหักพังเหล่านี้จนหมดสิ้น เมื่อมารีนาสโตสได้ขุดพบหลักฐานทางโบราณคดีที่สนับสนุนความคิดนี้ ที่เมืองอโครตีรี (Akrotiri) ซึ่งอยู่ทางใต้ของเกาะเทรา เขาก็ได้พบถนนหนทาง เครื่องใช้ เช่น เครื่องปั้นดินเผามากมาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอโครตีรี ก็เคยเป็นดินแดนหนึ่งของอารยธรรม ไมนวน บนเกาะครีทเช่นกัน
ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่าอารยธรรมไมนวนเป็นอารยธรรมโบราณที่เคยรุ่งเรืองในแถบทะเล เมดิเตอร์เรเนียน เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนนี้ และอาณาจักรนี้มีจุดศูนย์กลางของความเจริญอยู่ที่เกาะครีท ชาวไมนวนมีอารยธรรมสูง มีกฎหมายใช้ มีเทคโนโลยีการถลุงแร่ รู้จักขุดคลอง อุโมงค์ และสร้างท่าเรือ นอกจากนี้ชาวไมนวนยังรู้จักสร้างบ้านที่มีที่ระบายอากาศ และสร้างห้องน้ำที่มีชักโครกอีกด้วย ส่วนในเรื่องค้าขายนั้นชาวไมนวนชอบค้าข้าวสาลี ทองแดง ตะกั่วและเครื่องปั้นดินเผากับผู้คนจากที่ไกลๆ อาณาจักรไมนวนมีเมืองท่าสำคัญอยู่บนเกาะเทรา แต่เมื่อราว 3,500 ปีมานี้เอง อาณาจักรไมนวนก็ได้สลายมลายสูญไปทำนองเดียวกับ แอตแลนตีส ของเพลโต
การศึกษาของมารีนาสโตส ในเวลาต่อมาได้ทำให้เรารู้ว่าเมื่อ 1,520 ปีก่อนคริสตกาลนั้น ภูเขาไฟบนเกาะ เทราได้ระเบิด 3 ครั้ง และในครั้งสุดท้ายนั้น พลังระเบิดของภูเขาไฟที่สูงถึง 1,600 เมตรมีความรุนแรงมากยิ่งกว่าการระเบิดของภูเขาไฟกรากาตัว (Krakatoa) ในอินโดนีเซียที่ระเบิดเมื่อปี พ.ศ. 2462 ถึง 5 เท่า เสียงภูเขาไฟระเบิด ในครั้งนั้นสามารถได้ยินไปไกลถึง 3,000 กิโลเมตร ทำเกาะเทราให้ทรุดจมลงใต้ทะเล ฝุ่น ควันและเขม่าภูเขาไฟได้พุ่งขึ้นฟ้าบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้พื้นที่ 400 ตารางกิโลเมตรในบริเวณรอบๆ ภูเขาไฟเปลี่ยนสภาพจากกลางวันเป็นกลางคืน เถ้าถ่านและลาวาที่หนาถึง 30 เมตรได้ทับถมอารยธรรมไมนวนบนเกาะเทราจนมืดสนิท
และอีก 40 ปีต่อมา การยุบตัวของปล่องภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ทำให้ทะเลบริเวณรอบเกาะปั่นป่วน คลื่นยักษ์ (tsunami) ที่มีความสูงถึง 30 เมตรได้ไหลพุ่งเข้าถล่มเกาะครีตมีผลทำให้อารยธรรมไมนวนถึงจุดจบ แล้วอารยธรรมไมซีเนียน (Mycenean) ก็ได้เข้ามาแทนที่ทันที
เหตุการณ์ปฐพีถล่มล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนั้น อธิบายชะตากรรมของครีทได้อย่างสมบูรณ์และมารีนาสโตสเองก็คิดว่าเหตุการณ์นี้อธิบายการสูญสลายของ แอตแลนตีส ด้วยทฤษฎี “ครีท-เทรา” (Crete-Thera) จึงเป็นทฤษฎี แอตแลนตีส ที่ผู้คนยอมรับกันมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ประมาณ 20 ปี ความเชื่อในทฤษฎีนี้ก็เริ่มคลอนแคลนอีก เพราะนักประวัติศาสตร์ ได้พบหลักฐานเพิ่มเติมว่าภูเขาไฟบนเกาะเทราได้ระเบิดก่อนที่พระราชวังนอสซอสบนเกาะครีทจะถูกถล่มถึง 150 ปี
ภาพจำลองอาณาจักรแอตแลนตีสที่อยู่กันเป็นสัดส่วน
หรือนครที่สาบสูญก็แค่คำเปรียบเปรยของจอมปราชญ์
ในหนังสือชื่อ “มิสทรี ออฟ ดิ แอนเชียน เวิลร์ด” (Mysteries of the Ancient World) หรือปริศนาลึกลับแห่งโลกโบราณ ซึ่งมี ฟรานเดอร์ (J. Flanders) เป็นบรรณาธิการ และพิมพ์วางตลาด เมื่อเดือนธันวาคม 2541 โดยได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับ แอตแลนตีส ว่า
”เพลโต” เป็นบุคคลเดียว ที่ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ และตั้งแต่นั้นมาใครก็ตามที่พูดถึง แอตแลนตีส ต่างก็จะอ้างเพลโตทั้งสิ้น จากเอกสารและหลักฐานทั้งหลาย ที่ปรากฏไม่มีใครรู้อย่างมั่นใจ 100% ว่า เพลโตได้ตั้งใจเขียนเรื่อง แอตแลนตีส ขึ้นมาเพื่อลวงโลก หรือไม่คนบางคนคิดว่าปราชญ์ โซลอน (Solon) ที่เพลโตอ้างว่าได้ยินเรื่อง แอตแลนตีส จากพระชาวอียิปต์นั้นได้นำ "ข่าว" นี้มาบอกต่อ ๆ กันไปจากปากหนึ่งสู่อีกปากหนึ่ง แต่วิธีการถ่ายทอดข้อมูลลักษณะนี้ มักจะทำให้เนื้อหาของเรื่อง ผิดเพี้ยนไปเสมอ
และถ้าแอตแลนตีส มีจริงดังที่ เพลโต เขียนไว้ เหตุใดพระอียิปต์ จึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เฮโรโดตัส ( Herodotus) นักประวัติศาสตร์ชาติกรีกที่ได้เคยไปเยือนอียิปต์เมื่อ 450
ก่อนคริสต์กาลฟัง และถ้าข้อมูล แอตแลนตีส มาจากพระอียิปต์แต่เพียงแห่งเดียว จริงและข้อมูลนั้นมีเรื่องที่เกี่ยวกับกรีกด้วย เราก็ไม่สามารถจะมั่นใจได้ว่า ข้อมูลของชาวอียิปต์ ที่เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวกรีกเมื่อ 4,000 ปีก่อนนั้นเป็นเรื่องราวที่ถูกต้อง 100%
แม้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเมืองที่หายไปของเพลโตจะมีจริงหรือไม่ แต่จินตนาการที่ไม่รู้จบของมนุษย์ก็ได้สร้างสรรค์ออกมาผ่านหนังสือและภาพยนตร์ โดยภาพนี้จากการ์ตูนเรื่อง "แอตแลนตีส"
ประเด็นเหล่านี้ทำให้นักวิชาการ ปัจจุบันส่วนใหญ่เชื่อว่าอริสโตเติล คิดว่าถูกที่ว่า แอตแลนตีส คืออาณาจักรนิยายที่ไม่มีตัวตน และ เพลโต ได้เขียนเรื่อง แอตแลนตีส ขึ้นมาเพื่อสอนใจ โดยใช้ข้อมูลภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์มาประกอบอย่างค่อนข้างสมจริงตามแนวหนังสือชื่อ “เดอะ รีพับบลิก” (The Republic)
วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554
ช่างเทคนิควิศวกรรมไฟฟ้า
นิยามอาชีพ
ทำงานทางเทคนิคภายใต้การแนะนำและควบคุมของวิศวกรไฟฟ้า โดยใช้ทฤษฎีความรู้เกี่ยวกับหลักการทางไฟฟ้า วิธีการทดสอบไฟฟ้า และวิชาการที่เกี่ยวข้องกันมาใช้ในการผลิต การก่อสร้าง การติดตั้ง การทดสอบ การใช้และการบำรุงรักษา การพัฒนาและแก้ไขเปลี่ยนแปลงระบบไฟฟ้าอุปกรณ์และส่วนประกอบต่าง ๆ : เตรียมแผนงาน รายงานปฏิบัติงาน ภาพสเกตซ์ รูปแบบ แผนภาพ ข้อมูล รายงาน และรายละเอียด ต่าง ๆ สำหรับการปฏิบัติงาน ใช้มือหรือเครื่องมือประกอบ ติดตั้ง ตรวจสอบ ทดสอบ ใช้งาน ปรับ ทำบันทึก ดูแล แก้ไข เปลี่ยนแปลง ซ่อม และปฏิบัติงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้า อุปกรณ์และส่วนประกอบอื่น ๆ ตรวจหาสาเหตุที่ทำให้ระบบไฟฟ้าหรือ
อุปกรณ์ไฟฟ้าขัดข้องหรือไม่ทำงานเพื่อหาทางแก้ไขปรับปรุงและป้องกัน รวมทั้งทำงานด้านการบำรุงรักษาและซ่อมแซม ปฏิบัติงานด้านอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมายจากวิศวกรไฟฟ้า
ลักษณะของงานที่ทำ
ทำงานทางเทคนิคภายใต้การแนะนำ และการควบคุมของวิศวกรไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้ทฤษฎี อิเล็กทรอนิกส์หลักของวงจรไฟฟ้า วิธีการทดสอบ ไฟฟ้า คณิตศาสตร์ทางวิศวกรรมและวิชาการที่เกี่ยวข้องกันมาใช้ในการผลิตการ ก่อสร้าง การติดตั้ง การทดสอบ การใช้ และการบำรุงรักษา การพัฒนา การแก้ไข เปลี่ยนแปลง การซ่อมระบบอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ และ ส่วนประกอบต่างๆ
ทำงานติดตั้ง ซ่อมบำรุง ควบคุมการทำงานของระบบไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องกลไฟฟ้า เครื่องทำความเย็น และเครื่องปรับอากาศภายในอาคาร และในงานอุตสาหกรรม
ช่างเทคนิคไฟฟ้าจะปฏิบัติงานในลักษณะผู้ควบคุมงาน ผู้ช่วยวิศวกร ในการออกแบบ เขียนแบบติดตั้งและซ่อมบำรุงระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ระบบไฟฟ้าทั้งภายในและ ภายนอกอาคาร ระบบไฟฟ้าในงานอุตสาหกรรม อาจควบคุมช่างและคนงานที่ทำงานเกี่ยวกับการสร้าง การติดตั้ง และการซ่อมระบบหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ช่างเทคนิคไฟฟ้ามีหน้าที่รับผิดชอบงาน ดังนี้
1. ปรับแต่งควบคุมและตรวจเช็คเครื่องควบคุมไฟฟ้ากระแสสลับ เช่น ชุดควบคุมมอเตอร์ โดยคอนแทคเตอร์และชุดควบคุม อินเวนเตอร์แบบต่างๆ เป็นต้น
2. เดินสายไฟฟ้าระบบจ่ายพลังงาน และควบคุมเครื่องจักรในโรงงาน
3. ตรวจเช็ค ซ่อมแซม และติดตั้งเครื่องจักร ทางไฟฟ้า เช่น หม้อแปลงไฟฟ้า มอเตอร์ไฟฟ้า อุปกรณ์ตรวจเช็ค และอุปกรณ์ควบคุมการทำงานในกระบวนการผลิตของงานอุตสาหกรรม
4. ซ่อมแซมและบำรุงรักษาเครื่องมือ เครื่องใช้ทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เครื่องมือวัดกระแส เครื่องมือวัดแรงดัน เครื่องมือวัดความต้านทาน เป็นต้น
5.ปฏิบัติงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องหรือได้รับมอบหมาย
สภาพการจ้างงาน
ผู้ประกอบอาชีพนี้ได้รับค่าตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือนที่แตกต่างกันไปตามความรู้ความชำนาญและสถานประกอบกิจการในอัตราเงินเดือนขั้นต่ำ ดังนี้
เงินเดือน
วุฒิการศึกษา ราชการ เอกชน
วุฒิบัตรพัฒนาฝีมือแรงงาน 4,000 - 4,500 6,000
ประกาศนียบัตรวิชาชีพ 5,260 6,000 - 6,500
ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง 6,490 6,500 - 7,500
อัตราเงินเดือนของผู้ประกอบอาชีพนี้ในภาคเอกชนขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความสามารถและความชำนาญงาน นอกจากค่าตอบแทนในรูปเงินเดือนแล้วอาจได้รับค่าตอบแทนในรูปอื่นๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินสะสม เงินช่วยเหลือสวัสดิการใน รูปต่างๆ
เงินโบนัส ค่าล่วงเวลา เป็นต้น
สภาพการทำงาน
ผู้ปฏิบัติงานอาชีพนี้ทำงานทั้งในและนอกสถานที่ ทำงานในการตรวจ ซ่อม และบริการระบบควบคุมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในงานอุตสาหกรรมสภาพการทำงานหนักปานกลางต้องใช้ความอดทนต่อสภาพความร้อน เสียง กลิ่นของสารเคมี ทำความสะอาดอุปกรณ์และบางโอกาสทำงานตามลำพังต้องใช้ความระมัดระวังและรอบคอบสูงพอสมควร เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานและบางครั้งต้องทำงานเกินเวลา
คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ
คุณสมบัติของช่างเทคนิคไฟฟ้า
- สำเร็จการศึกษาขั้นต่ำระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือเทียบเท่า หรือระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.)
- ทำงานในระดับช่างฝีมือ หรือ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ทำงานในระดับช่างเทคนิค
- มีร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคที่เป็นอุปสรรคต่องานอาชีพ
- มีความอดทน ขยันหมั่นเพียร สามารถทำงานกลางแจ้ง
- มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ชอบการคิดคำนวณ มีความละเอียดรอบคอบ
- มีความเป็นผู้นำ และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
- มีความมั่นใจในตนเองสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้
ผู้ที่ประกอบอาชีพนี้ควรเตรียมความพร้อมต่อไปนี้ : ผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 เข้าศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หลักสูตร 3 ปี ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรมสาขาวิชาช่างไฟฟ้ากำลัง (งานติดตั้งไฟฟ้า งานเครื่องกล ไฟฟ้า งานช่างเทคนิคในอาคารขนาดใหญ่ งานเครื่องมือวัดอุตสาหกรรม และงานเครื่องทำความเย็นและปรับอากาศ) ในสถานศึกษาสังกัดกรมอาชีวศึกษาหรือสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลหรือสาขาวิชาไฟฟ้าในวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ สามารถเข้าทำงานในระดับช่างฝีมือแรงงาน หรือศึกษาต่อในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หลักสูตร 2 ปีประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรมสาขาวิชาช่างไฟฟ้ากำลัง (งานติดตั้งไฟฟ้า งานเครื่องกลไฟฟ้า งานช่างเทคนิคในอาคารขนาดใหญ่ งานเครื่องมือวัดอุตสาหกรรม และงานเครื่องทำความเย็นและปรับอากาศ) ในสถานศึกษาสังกัด กรมอาชีวศึกษา หรือสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลหรือสาขาวิชาไฟฟ้าในวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ สามารถเข้าทำงานในระดับช่างเทคนิค สำหรับแรงงานใหม่ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป สำเร็จการศึกษามัธยมปีที่ 3 หรือเทียบเท่าขึ้นไปฝึกในสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน (สพร.) หรือ ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด (ศพจ.) 10 เดือน และฝึกในสถานประกอบการอีก 2 เดือน รวมระยะเวลาฝึกทั้งหมด 12 เดือน จึงจะได้รับวุฒิบัตรพัฒนาฝีมือแรงงาน (วพร.) แนวการฝึกเน้นภาคปฏิบัติ 70% ความรู้ความสามารถที่รับการฝึกจะได้รับจากการฝึก ได้แก่ ไฟฟ้าโรงงาน เครื่องมือทดสอบ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระบบดิจิตอล และ ไมโครโปรเซสเซอร์ เครื่องจ่ายไฟ และเครื่องควบคุมระบบควบคุมเรียงลำดับความปลอดภัยในการทำงานและโครงงานอิเล็กทรอนิกส์สามารถเข้าทำงานในระดับช่างฝีมือ
โอกาสในการมีงานทำ
ช่างเทคนิคไฟฟ้า สามารถเลือกทำงานได้ทั้งประกอบอาชีพอิสระ เช่น รับติดตั้งระบบไฟฟ้าเครื่องทำความเย็น และเครื่องปรับอากาศ หรือรับราชการ เช่น กรม โยธาธิการ กรมทางหลวง หรือเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ เช่น การไฟฟ้านครหลวงหรือภูมิภาคการประปานครหลวง หรือภูมิภาคหรือเป็นลูกจ้างของสถานประกอบการ
เนื่องจากไฟฟ้าเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและ วงการธุรกิจทั้งทางด้านพาณิชยกรรม อุตสาหกรรมการผลิต และอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งต้องอาศัยไฟฟ้าเป็นส่วนประกอบเกือบทั้งหมด อาชีพช่างเทคนิคไฟฟ้าจึงเป็นอาชีพที่อยู่ในความต้องการของตลาดแรงงาน
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ผู้ที่รับราชการหรือเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจจะเลื่อนขั้นเงินเดือนและตำแหน่งตามกฎระเบียบที่วางไว้ ส่วนงานเอกชนนั้นเมื่อระยะเวลาการทำงานเพิ่มขึ้นรวมทั้งมีความสามารถและชำนาญงานก็จะได้เลื่อนตำแหน่งงานและเงินเดือนสูงขึ้นตามความสามารถ และประสบการณ์ นอกจากนี้ยังสามารถหารายได้พิเศษโดยรับติดตั้งระบบไฟฟ้าอาคารที่พักอาศัย อาคารสำนักงานหรือโรงงานอุตสาหกรรม
มีพื้นฐานอาชีพนี้สามารถฝึกเพิ่มเติมฝีมือในหลักสูตรการฝึกยกระดับฝีมือใน สพร. อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ตลาดแรงงานต้องการมาก เนื่องจากกระบวนการทำงาน และ กระบวนการผลิตจะเปลี่ยนไปในทางการควบคุมแบบอัตโนมัติซึ่งต้องใช้การควบคุมที่แน่นอนและแม่นยำจึงต้องอาศัยอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์เข้าไปช่วยในการควบคุม
ผู้ประกอบอาชีพนี้หากต้องการความก้าวหน้าในวิชาชีพจะสามารถศึกษาต่อเพื่อเพิ่มวิทยฐานะในอาชีพในตำแหน่งที่สูงขึ้น โดยผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาอาจจะศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า สมัครสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในสถาบันที่เปิดสอนสาขาวิชาไฟฟ้าหลักสูตร 4 ปี สำเร็จการศึกษาได้วุฒิปริญญาตรีผู้ที่สำเร็จการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ สามารถสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในสถาบันที่เปิดสอนสาขาวิชาไฟฟ้า หลักสูตร 4 ปี สำเร็จการศึกษาได้วุฒิปริญญาตรีหรืออาจจะศึกษาต่อในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หลักสูตร 2 ปีจะทำงานในวิชาชีพนี้ต่อไปหรือสมัครสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อระดับวุฒิปริญญาตรีต่อเนื่องในสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือสถาบันการศึกษาที่เปิดหลักสูตรวุฒิปริญญาตรีต่อเนื่อง
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง
พนักงานขาย ช่างไฟฟ้า ช่างเชื่อมไฟฟ้า ช่างเครื่องกล ช่างซ่อมวิทยุ ช่างซ่อมโทรทัศน์ หัวหน้าควบคุมการทำงาน พนักงานควบคุมการทำงานเครื่องจักร ช่างเทคนิค ช่างซ่อมเครื่องมือวัดทางอุตสาหกรรม
นายประเสริฐ์ วงศ์พานิชย์ ชั้นม. 5/2 เลขที่ 17
อาชีพนักดนตรี
ลักษณะงาน
เป็นผู้ปฏิบัติเครื่องดนตรีตั้งแต่ 1 เครื่องขึ้นไป โดยไม่คำนึงว่าเป็นผู้แสดง เดี่ยว ผู้เล่นแนวคลอ หรือเป็นนักดนตรีประจำอยู่ในวงดุริยางค์ วงดนตรีหรือกลุ่มดนตรีประเภทใด ฝึกฝนและหมั่นซ้อมตามบทเพลง รู้วิธีการเทียบเสียงให้ถูกต้องตามระดับเสียงของเครื่องดนตรี และเล่นดนตรีด้วยการอ่านโน้ตเพลง หรือจากความจำโดยทั่วไปอาจมีชื่อเรียกตามชื่อของเครื่องดนตรีที่ปฏิบัติอยู่ เช่น นักไวโอลิน นักเซลโล่ นักเป่าคาลิเน็ต เป็นต้น
คุณลักษณะของผู้ประกอบอาชีพ
1. มีความขยันหมั่นเพียร อดทน
2. มีมนุษยสัมพันธ์ดี คล่องแคล่ว ทันสมัย
3. มีความเชื่อมั่นในตนเอง
4. กล้าแสดงออก
5. และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
การศึกษาและการฝึกอบรม
ศึกษาต่อในคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล หรือสถาบันราชภัฏฯ ศึกษาต่อในคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
โอกาสก้าวหน้าในอาชีพ
ประกอบอาชีพเป็นนักดนตรี ตามวงดุริยางค์ วงดนตรีหรือกลุ่มดนตรี ตามความสามารถในเครื่องดนตรีที่ตนถนัด
คนจะเป็นนักดนตรีได้ ต้องมีทั้งพรสวรรค์ และพรแสวง พรสวรรค์คือมีหูที่แยกแยะเสียงดนตรีได้ ฟังทำนองแล้วจับความได้ ว่าอยู่ตรงไหนของบันไดเสียง มีมือมีนิ้วมีประสาทที่แยกมือขวามือซ้ายออกจากกัน รวมๆ แล้วก็คือมีพรสวรรค์ในการเล่นดนตรี เรียนดนตรีได้ง่าย
ต้องมีพรแสวงคือต้องหมั่นซ้อม ขวนขวายฝึกฝีมือ มีเงินซื้อเครื่องดนตรีมาไว้ฝึกเล่น หรือแสวงหาห้องซ้อมที่โรงเรียน ที่มหาลัย หรือไปเช่าห้องซ้อม แสวงหาครูมาสอน หาตำรามาอ่านเป็นต้น
แต่ไม่ใช่เล่นดนตรีได้ เล่นดนตรีเป็นแล้วจะยึดอาชีพนักดนตรีได้
ไม่ว่าจะยุคไหนๆ นักดนตรีอาชีพมีมากมาย ถ้าเราจะไปหาร้านเล่นดนตรี เราก็ต้องทำวงไปแข่งกับวงอื่น ต้องไปออดิชั่นเล่นให้เขาดู
ถ้าได้เล่นประจำ ก็ต้องมีความรับผิดชอบตามมา ต้องไปเล่นทุกวัน ห้ามป่วยห้ามไข้ ถ้าวันไหนไปเล่นไม่ได้ ต้องรับผิดชอบหาคนแทน แล้วก็ต้องจ้างคนแทนมากกว่าค่าตัวของเรา
เราต้องขยันแกะเพลงใหม่ๆ ไม่งั้นพอมีเพลงฮิตมาใหม่ ลูกค้าขอเพลงมาจะเล่นไม่ได้
ต้องใช้เวลามากมายไปกับการซ้อม การต่อเพลง การแกะเพลง แต่จะได้เงินจากช่วงที่แสดงเท่านั้น แถมค่าจ้างก็ไม่มากมาย ไม่คุ้มเวลาและค่าพรสวรรค์ของเราเลย
เป็นนักดนตรีต้องขนเครื่อง
อีกทั้งยังต้องใช้กำลังกายเป็นคนขนเครื่องด้วย เป็นมือกีตาร์ก็ต้องขนกระเป๋ากีตาร์พร้อมเอฟเฟ็กส์ เป็นมือคีย์บอร์ดยิ่งหนัก ต้องแบกคีย์บอร์ดหนักๆ เป็นมือกลองไม่ใช่จะถือแต่ไม้กลองไป ต้องมี snare กับฉาบของเราเองไปด้วย ไม่งั้นได้เสียงไม่ถูกใจ
ไม่ได้เป็นนักดนตรีซุปตาที่จะมีเด็กขนเครื่อง ตั้งเครื่องดนตรีให้ พอทำไม่ถูกใจจะขว้างกีตาร์ทิ้งเหมือนเขาก็ทำไม่ได้ เพราะเป็นเครื่องมือหากิน อุตส่าห์อดออมหาเงินซื้อมา เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นราคาก็แสนแพง
สุขภาพก็เสื่อมโทรม ต้องอยู่ในคลับบาร์ที่มีแต่ควันบุหรี่ มีเสียงดังกรอกแก้วหู มีแสงไฟกระพริบไม่หยุดนิ่ง บางทีก็มีคนขว้างแก้วขว้างขวดใส่
นายณัฐวุฒิ พึงศรี ชั้นม.5/2 เลขที่ 4
งานช่าง
ชีวิตประจำวันกับงานช่างพื้นฐาน
ในการดำเนินชิวิตประจำวันของตนเองและครอบครัวจะพบว่าในบางครั้งเรามองข้ามสิ่งต่างๆที่อยู่ที่อยู่ใกล้ตัว ที่เราจำเป็นต้องใช้สอยอยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้คือเครื่องใช้ต่างๆภายในบ้านนั่นเอง ลองนึกทบทวนดูซิว่ามีอะไรบ้าง โดยแยกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้
1. เครื่องเรือนที่ทำด้วยไม้ เช่น ตู้ โต๊ะ เตียง
2. สิ่งอำนวยความสะดวกประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น พัดลม ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ
3. เครื่องเรือนที่เป็นโลหะ
4. งานสี
เครื่องใช้และสิ่งอำนวยความสะดวกที่กล่าวมาแล้ว เราในฐานะผู้ใช้และได้ประโยชน์จากสิเหล่านี้ คงไม่ได้หมายถึงการที่เป็นผู้ใช้แต่เพียงอย่างเดียว เราคงจะต้องมีหน้าที่ดูแลรักษาและใช้ อย่างรู้คุณค่า ประหยัด ปลอดภัย และถูกวิธี ถ้าเสียใช้งานไม่ได้ตามปกติ
จะต้องส่งให้ช่างอาชีพเป็นผู้ซ่อม แต่ก่อนที่จะถึงมือช่างอาชีพ เราควรมีความรู้พื้นฐานที่จะดูแลรักษา ซ่อมแซมอาการเสียหายในเบื้องต้นได้ เพื่อเป็นการประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย และยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น
ลักษณะของงานช่างในชีวิตประจำวัน
งานช่างพื้นในชีวิตประจำวันถึงงานช่างด้านต่างๆซึ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน เป็นกระบวนการทำงานช่างที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ที่เราควรจะมีความรู้เบื้องต้นอย่างเพียงพอให้สามารถ ซ่อมแซม ดูแลรักษา ดัดแปลงวัสดุต่างๆ ให้เกิดประโยชน์ การนำความรู้ ทักษะและประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนวิชาช่างพื้นฐานไปใช้ในการปฏิบัติงานอย่างจริงจัง จะทำให้เครื่องใช้ภายในบ้าน มีความคงทนและมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น มั่นใจได้ว่าสามารถใช้งานได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
งานช่างพื้นฐานสามารถแยกเป็นงานช่างในสาขาต่างๆได้ดังต่อไปนี้
1. งานไม้
2. งานช่างไฟฟ้า
3. งานช่างโลหะ
4. งานช่างสี
5. งานปูนและงานสุขภัณฑ์
1. งานช่างไม้
บ้านเรือนที่อยู่อาศัยถึงแม้ว่าปัจจุบันจะเปลี่ยนไปใช้วัสดุอื่นแทนไม้เนื่องมาจากไม้หายากและราคาแพง แต่ก็ยังมีส่วนประกอบบางส่วนยังจำเป็นต้องใช้ไม้ เช่น วงกบ ประตู หน้าต่าง ตลอดถึงครุภัณฑ์ต่างๆยังคงใช้ไม้เป็นส่วนใหญ่ อาชีพช่างไม้จึงยังมีความสำคัญอยู่ งานช่างไม้เป็นงานที่ต้องอาศัยทักษะในการทำงาน ต้องทำงานด้วยใจรัก มีความคิดสร้างสรรค์ ขยัน มีความอดทน รับผิดชอบสูง สามารถใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นไม้มาสร้าสรรค์เป็นของใช้ได้อย่างเหมาะสม งานช่างไม้สามารถแยกประเภทออกได้ดังนี้
ก. งานช่างไม้ก่อสร้าง ทำงานเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย ต้องทำงานกลางแดด กลางแจ้ง บนที่สูง
ข. งานช่างไม้ครุภัณฑ์ ทำงานเกี่ยวกับการสร้างเครื่องเรือนต่างๆ เช่น ตู้ โต๊ะ เตียง ต้องเป็นผู้มีความละเอียดประณีต ทำงานภายในโรงงาน ที่มีเครื่องจักรเครื่องมือพร้อม
ค. งานช่างไม้แบบ ทำงานเกี่ยวกับการทำแบบหล่อโลหะ ได้แก่ชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ ต้องทำงานด้วยความละเอียดประณีตมาก
ง. งานช่างไม้แกะสลัก ทำงานเกี่ยวกับการแกะลวดลายต่างๆลงบนไม้
2. งานช่างไฟฟ้า
การมีไฟฟ้าใช้แสดงให้เห็นถึงความเจริญได้อย่างหนึ่ง งานช่างไฟฟ้าเป็นงานที่ต้องใช้ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ ในการนำเอาพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในลักษณะของพลังงานแสงสว่าง พลังงานความร้อนและพลังงานกล จะต้องใช้อย่างระมัดระวัง การดูแลรักษา หรือการแก้ไขข้อบกพร่องของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าผู้ที่เป็นช่างจะต้องมีทักษะอย่างเพียงพอ ต้องทำงานโดยอาศัยหลักวิชาที่ถูกต้อง เพราะงานที่เกี่ยวข้องกับกระแสไฟฟ้าสามารถเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพยสินได้ง่าย ลักษณะของงานช่างไฟฟ้าสามารถแบ่งออกได้ดังต่อไปนี้
ก. งานไฟฟ้ากำลัง ทำงานเกี่ยวกับการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงสูง
ข. งานไฟฟ้าภายในบ้าน ทำงานการเดินสายไฟภายในบ้าน
ค. งานไฟฟ้าอิเลคทรอนิกส์ ทำงานเกี่ยวกับการซ่อมแซมเครื่องไฟฟ้าต่างๆ
นายเจษฎา ขจรไชยา ชั้นม.5/2 เลขที่ 15
ช่างภาพ
1. ช่างภาพสินค้าและประเภทแฟชั่น ช่างภาพประเภทนี้จะมีรายได้สูงที่สุด แต่คุณก็ต้องลงทุนสูงสุดในเช่นกันในเรื่องระบบไฟ ฉาก ห้องสตูดิโอ สำหรับการถ่ายภาพ ราคาในท้องตลาดเมื่อก่อนนั้นถ่ายครั้งหนึ่งเป็นแสนก็ยังมี แต่เดียวนี้หาราคาแบบนี้ไม่ได้ง่ายๆแล้ว อัตราก็มีตั้งแต่ 1หมื่นบาทต่อวันขึ้นไปจนถึงราวๆ 5-6 หมื่นบาท ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าด้วย
ทิศทางและแนวโน้ม งานถ่ายประเภทนี้ ช่างภาพที่เน้นมาทางด้านนี้ยังมีไม่เยอะเนื่องจากมีข้อจำกัดสูงเหมือนคุณต้องขึ้นมายู่ในจุดสูงของช่างภาพระดับอาชีพแล้ว ในขณะที่งานถ่ายยังมีอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้มีในจำนวนมากเหมือนงานถ่ายประเภทอื่นๆ ...
*ช่างภาพจะต้องมีความรู้ในด้านการจัดไฟ การใช้อุปกรณ์ระดับอาชีพ งบประมาณสูง และมีฝือที่สูงจนลูกค้าระดับอาชีพไว้ใจด้วยเช่นกัน ถ้าเราฝีมือดีผลงานออกสู่ภายนอกก็จะเริ่มมีงานเข้ามาได้ครับ
2. ช่างภาพงานแต่งงาน ช่างภาพที่ทำงานในด้านนี้ตอนนี้เริ่มผุดเป็นดอกเห็ดครับ เพราะสามารถทำเงินได้ดีต่อวัน ถึงแม้ว่าจะไม่เท่ากับประเภทช่างภาพสตูดิโอก็ตาม ราคาอยู่ในราวๆ 3000-15000 บาทสำหรับงานพิธีครึ่งวัน หรือ 1 วัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และฝีมือ
ทิศทางและแนวโน้ม การแข่งขันสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ถือว่ามากที่สุด ในขณะที่งานแต่งงานก็มีอยู่เรื่อยๆเช่นกัน ทำให้ช่างภาพที่ติดลมบนถึงกับต้องลงมามองดูช่างภาพรุ่นใหม่ๆ ว่าถ่ายกันอย่างไร คิดราคาเท่าไร ตรงนี้เท่าที่ผมได้คุยกับช่างภาพรุ่นแรกๆ ก็จะเข้าใจว่ามุมมองช่างภาพรุ่นใหม่ๆ นั้นเปลี่ยนแปลงแนวทางไป จนพวกเค้าต้องตามให้ทันบ้าง หรือราคาที่โดนตัดราคากันสะบั้นหั่นแหลกนั้นก็ทำให้การแข่งขันในตลาดสูงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง
*ช่างภาพจะต้องมีความรู้ในการจัดไฟเบื้องต้น มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี รู้จักกาลเทศะ เพราะต้องทำงานกับผู้ใหญ่และคนอื่นๆอีกมากมาย วุ่นวายน่าดูครับ ช่างภาพประเภทนี้จะต้องมีมุมมอง หรือมีความเป็นศิลปะ ค่อนข้างสูงเพื่อทำให้รูปของลูกค้าน่าสนใจและสวยงามมากขึ้น
3 ช่างภาพประเภทอีเว้นท์ ช่างภาพประเภทนี้เริ่มเยอะขึ้น แต่ก็ถือว่ายังไม่มาก เนื่องจากตลาดมีไม่มากครับ ผู้ว่าจ้างจะเป็นบริษัทออแกไนซ์หรือประชาสัมพันธ์ ซึ่งจัดงานต่างๆ
ทิศทางและแนวโน้ม บริษัทที่จ้างช่างภาพเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็จะมีช่างภาพประจำอยู่แล้วทำให้คุณไม่สามารถแทรกเข้าไปได้ง่ายๆ ขึ้นอยู่กับโอกาสว่าจะเข้าไปได้หรือไม่ ราคาในตลาดช่างภาพประเภทนี้จะคิดเป็นชั่วโมง โดยมีราคาตั้งแต่ 1500- 3500 บาท ในระยะเวลาไม่เกิน 3-4 ชั่วโมงสำหรับงานเปิดตัวสินค้า งานแถลงข่าว แตถ้าคุณเข้าไปได้เมื่อไร แล้วฝีมือคุณดีก็กินยาวๆครับ ยึดเป็นอาชีพหลักได้เลย
*ช่างภาพถ่ายงานอีเว้นท์ จะต้องใจกล้าหน้าด้านครับ เพราะต้องสามารถควบคุมคนอื่นๆบนเวทีขณะถ่ายภาพได้ ต้องรวดเร็ว ชำนาญในการใช้กล้องนอกสถานที่ และตื่นตัวเสมอเพื่อไม่ให้พลาดเหตุการณ์สำคัญ ซึ่งคุณพลาดไม่ได้กับงานแบบนี้ในรูปที่ต้องใช้ลงข่าวประชาสัมพันธ์ ที่สำคัญถ้าคุณอยากได้งานประเภทนี้ก็ต้องอาศัยว่ารู้จักคนเยอะไว้ก่อนครับ
4. ช่างภาพรับปริญญา คงเป็นประเภทเริ่มต้นสำหรับน้องๆช่างภาพ หรือผู้เริ่มต้นในการเข้าสู่วงการ หาเงินด้วยการถ่ายภาพ ตลาดผู้ว่าจ้างมีเยอะมาก และช่างภาพในระดับนี้ก็มีเยอะมากเช่นเดียวกัน ราคาอยู่ในระดับ 1000-8000 บาท ต่อวัน เป็นเวทีสำหรับมือใหม่ให้ได้ฝึกฝีมือ และมีงานเป็นช่วงๆเทศกาลรับปริญญา ดังนั้นใครที่คิดจะมายึดอาชีพถ่ายรูปเพราะงานรับปริญญาหากินนั้นบอกได้เลยว่าไส้แห้งตอนหน้าร้อนแน่ๆครับ
ทิศทางและแนวโน้ม มันยังคงยู่คู่กับคนไทยไปตลอดกาลจนกว่าจะมีการเลิกรับปริญญาครับ 555
*ช่างภาพประเภทนี้ต้องถึก ทนแดด ทนฝน ทนรองเท้ากัด ทนดำ ทนหิว ได้เป็นอย่างดี รู้สึกเหมือนชั้นกรรมกรอย่างไหนอย่างนั้น ส่วนใหญ่ช่างภาพในระดับที่ตั้งราคาไว้สูง เพราะรู้ว่ามันเหนือยได้ค่าตอบแทนไม่คุ้ม เลยตั้งราคาสูงเอาไว้ก่อนเพื่อให้รู้สึกคุ้มกับความเหนื่อยครับ
สรุปแล้วถ้าถามว่า มาทำงานเป็นช่างภาพฟรีแลนด์ดีมั้ย เมื่อทำช่างภาพประจำแล้วเงินสู้ช่างภาพฟรีแลนด์ไม่ได้
นั่นคือทางเลือกของแต่ละคนเองครับ บางคนอยากจะคว้าเงินที่อยู่ตรงหน้าหรือต้องการมีเวลาว่างในการทำธุรกิจส่วนตัวในอนาคต กับบางคนอยากจะมีรายได้ประจำที่มั่นคงจากบริษัท และใช้เวลาว่างในการรับงานนอก ผมคงไม่มีคำตัดสินให้ครับ
นายณวพล เกื้อทาน ชั้น5/2 เลขที่ 6
สถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรม (Architecture) เป็นผลงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการก่อสร้างสิ่งก่อสร้าง อาคาร ที่อยู่อาศัยต่าง ๆ การวางผังเมือง การจัดผังบริเวณ การตกแต่งอาคาร การออกแบบก่อสร้าง ซึ่งเป็นงานศิลปะ ที่มีขนาดใหญ่ต้องใช้ผู้สร้างงานจำนวนมาก และเป็นงานศิลปะ ที่มีอายุยืนยาว สถาปัตยกรรม เป็นวิธีการจัดสรรบริเวณที่ว่างให้เกิดประโยชน์ใช้สอยตามความต้องการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ศาสตร์ในสาขาต่าง ๆ เช่น วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา และศิลปะ ความงดงาม และคุณค่าของสถาปัตยกรรม ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ดังนี้ คือ
1. การจัดสรรบริเวณที่ว่างให้สัมพันธ์กันของส่วนต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก
2. การจัดรูปทรงทางสถาปัตยกรรมให้เหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอย และสิ่งแวดล้อม
3. การเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสมกลมกลืน
สถาปัตยกรรมแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ
1. ชนิดที่สร้างขึ้นเพื่อให้มนุษย์เข้าไปอาศัยอยู่ หรือประกอบกิจกรรมต่าง ๆ เช่น อาคาร บ้านเรือน โบสถ์ วิหาร ศาลา ฯลฯ
2. ชนิดที่สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอยอย่างอื่น ๆ เช่น อนุสาวรีย์ เจดีย์ สะพาน เป็นต้น ผู้สร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรม เรียนว่า สถาปนิก (Architect)
วิชาชีพสถาปัตยกรรมในประเทศไทย
สถาปนิกเป็น วิชาชีพที่มีการควบคุมภายใต้พระราชบัญญัติสถาปนิก พ.ศ. 2543 โดยมีสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ (Association of Siamese Architects) สถาปนาขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2477 เป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมวิชาชีพด้านสถาปัตยกรรมและติดต่อประสานงานระหว่างสถาปนิกด้วยกัน ส่วนสภาสถาปนิก (Council of Architects) มีหน้าที่ออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุม (ก.ส.) รับรองคุณวุฒิ รวมทั้งควบคุมจรรยาบรรณวิชาชีพของสถาปนิก
มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนวิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์
รายชื่อคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ในประเทศไทย มหาวิทยาลัยทั้งหมดที่เปิดสอน
รายชื่อคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยชั้นนำส่วนหนึ่งที่เปิดสอน
สถาปัตยกรรมศาสตร์ กับ ฮวงจุ้ย
สถาปัตยกรรมศาสตร์ในบางส่วนจะมีการใกล้เคียง กับการศึกษาฮวงจุ้ยศาสตร์ของชาวจีนในการวางตำแหน่งอาคารโดยที่เน้นศึกษา ลม(ฮวง) และน้ำ(จุ้ย) ในการออกงานในทางสถาปัตยกรรม มีการศึกษาทิศทางของลม ทิศทางของแสงแดด แนวทางของน้ำ และสถาพแวดล้อมอื่นๆ เพื่อให้การดำรงอาศัยของมนุษย์อยู่ใน สภาวะอยู่สบาย ตัวอย่างการออกแบบทางสถาปัตยกรรม ได้แก่ การวางตัวของอาคารเพื่อให้มีการหมุนเวียนของลม เพื่อป้องกันการสะสมของอากาศเก่า จะทำให้ผู้อยู่อาศัยป่วยเป็นโรค หรือการวางตัวของอาคารในทิศทางที่ไม่ปะทะ กับลมหรือแสงแดด โดยตรง เพื่อให้ระบบสภาวะอากาศภายใน ไม่หนาวหรือร้อนเกินไปทำให้ผู้อยู่อาศัยเกิดความไม่สบายเช่นกัน
นายรัฐพงษ์ ข่าขันมะลี ชั้นม.5/2 เลขที่ 9
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)